สิ่งที่เหมือนกันระหว่างซีรีส์ FC และ FC-E
หลังจากที่เปิดตัวรุ่นใหม่ซีรีส์ FC-E ออกมา ทำให้เกิดความสับสนกับลูกค้าหลายคนว่าจะเลือกซีรีส์ไหนดีระหว่าง FC และ FC-E ซึ่งชื่อคล้าย ๆ กัน แต่ราคานั้นต่างกัน
เพื่อให้เห็นความชัดเจน ต้องเริ่มจากจุดที่เหมือนกันก่อนระหว่างทั้ง 2 ซีรีส์ โดยจะมีจุดเหมือนหลักทั้งหมด 7 จุด
- หน้าตา ทั้ง 2 ซีรีส์จะเป็นไฟ LED แบบหลายแถบ หรือ multi-bar ครอบคลุมพื้นที่ปลูกแบบตารางสี่เหลี่ยมจตุรัส
- ไดรเวอร์ ทั้งซีรีส์ FC และ FC-E ต่างใช้ไดรเวอร์ขับช่วยขับไฟของ MOSO (FC3000 และ FC-E3000 ใช้ของ Mean Well)
- คลื่นความถี่แสง ออกแบบมาให้ครอบคลุมระยะที่เท่ากัน
- รุ่น 3000, 4800: 380-410nm(UV), 650-665nm, 730-740nm(IR), 2800-3000K, 4800-5000K
- รุ่น 6500: 650-665nm, 2800-3000K, 4800-5000K
- ประสิทธิภาพการระบายความร้อน ทั้ง 2 ซีรีส์ใช้ฮีตซิงก์ดีไซน์เดียวกัน วัสดุอลูมิเนียมทรงหยักแหลมอยู่บนทุกแถบแผงไฟเพื่อเพิ่มการแผ่ความร้อนออกไปได้ดีมากยิ่งขื้น ดังนั้นจึงระบายความร้อนได้ดีพอ ๆ กัน แต่ในซีรีส์ FC-E จะมีความร้อนที่มากกว่าเล็กน้อย ด้วยจำนวนชิปไฟที่เยอะกว่า
- ความสม่ำเสมอในการกระจายแสง ด้วยการออกแบบให้มีหลายแถบไฟ จึงสามารถกระจายได้ทั่วถึงพื้นที่ของตัวแผงไปยังไม้ที่ปลูก และด้วยการจัดวางตำแหน่งของชิปหลอดไฟและแผงแถบไฟแบบพิเศษ จึงสามารถกระได้สม่ำเสมอมากกว่าไฟ LED ทั่ว ๆ ไป
- ระบบหรี่ไฟหลายแผงได้พร้อมกัน ทั้งซีรีส์ FC และ FC-E สามารถเชื่อมระบบหรี่ไฟเข้าด้วยกันได้ เพื่อปรับจากตัวเดียวแต่หรี่พร้อมกันได้ทั้งหมด
- กันน้ำ ทั้ง 2 ซีรีส์มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP65
ความแตกต่างระหว่างซีรีส์ FC และ FC-E
มีความแตกต่างด้วยกันทั้งหมด 5 จุด ดังนี้
ความแตกต่างแรก: ชิป/ไดโอด LED
เป็นความแตกต่างมากที่สุดของซีรีส์ FC และ FC-E คือไดโอด LED ที่ใช้
ซีรีส์ FC ใช้ไดโอด Samsung
ซีรีส์ FC-E ใช้ไดโอด BridgeLux
ถือเป็น 2 ยี่ห้อหลักที่มีชื่อในวงการหลอดไฟ LED ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและนิยมอย่ากว้างขวาง Samsung นั้นถือเป็นผู้ผลิตหลักชั้นนำของโลก ส่วน BridgeLuxเป็นผู้ผลิตจากอเมริกาที่ประสบการณ์มายาวนานถึง 18 ปีแล้ว ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ไว้วางใจได้ทั้งคู่ ผลทดสอบผลผลิตที่ได้จากไฟของทั้ง 2 ซีรีส์จะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย
ซีรีส์ FC ที่ใช้ไดโอด Samsung LM301B ได้ประสิทธิภาพที่ 2.92μmol/J
ซีรีส์ FC-E ที่ใช้ไดโอด BridgeLux 2835 ได้ประสิทิภาพที่ 2.7μmol/J
อย่างที่เห็นว่า Samsung นั้นจะให้ประสิทธิที่ดีกว่าจึงเป็นผู้ชนะในแง่นี้ไป แต่เรามีการเพิ่มจำนวนไดโอดในซีรีส์ FC-E ให้มากขึ้น สังเกตได้จากตารางด้านล่างนี้ เพื่อให้ประสิทธิภาพในการกระจายแสงบนพื้นที่ปลูกได้พอ ๆ กัน
เมื่อมีจำนวนไดโอดที่มากกว่าที่กำลังวัตต์ไฟเท่ากันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี แต่แน่อนว่าประสิทธิภาพของไดโอด Samsung นั้นประสิทธิภาพสูงกว่า
ยังมีความแตกต่างกันอยู่อีกในเรื่องของประสิทธิภาพของทั้ง 2 ซีรีส์ ลองดูหัวข้อ PPE/PPFD ด้านล่างนี้
ความแตกต่างที่ 2: PPE/PPFD
การวัดประสิทธิภาพของไฟปลูกต้นไม้ Grow Light ที่แม่นยำที่สุดคือการการวัดค่า PPE และ PPFD
PPFD นั้นย่อมาจาก Photosynthetic Photon Flux Density คือการวัดค่า PAR ที่ส่งผ่านไปยังพื้นที่ปลูก นับเป็นหน่วยไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที (µmol/s/m2)
PPE ย่อมาจาก Photosynthetic Photon Efficacy เป็นการวัดค่าปริมาณแสงที่ตัวแผงไฟสร้างได้จากปริมาณไฟที่ใช้ วัดเป็นหน่วยไมโครโมลต่อวินาทีต่อวัตต์ (µmol/J)
สูตรคำนวณคร่าว ๆ:
PPE x วัตต์ = PPFD
(จำนวนจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก)
ตารางด้านล่างนี้จะโชว์ค่า PPE และ PPF ที่แตกต่างกันระหว่างซีรีส์ FC และ FC-E
จะเห็นว่ามีความแตงกันอยู่เล็กน้อย แต่เป็นค่าที่เล็กน้อยมาก ๆ จึงสรุปได้ว่ามีระดับที่พอ ๆ กัน ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญใด ๆ
ความแตกต่างที่ 3: การออกแบบวิธีติดตั้ง
แม้ว่าหน้าตาของแผงไฟทั้ง 2 ซีรีส์จะดูคล้าย ๆ กัน แต่รูปแบบการติดตั้งใช้งานนั้นจะแตกต่างกันอยู่
ซีรีส์ FC (4800 & 6500) สามารถ พับได้ มีการใส่ข้อบานพับมาให้ตรงกลางให้พับครึ่งได้ เพิ่มความสะดวกในการในการเคลื่อนย้ายกับแผงไฟที่มีขนาดใหญ่ และยังช่วยให้สามารถปรับมุมองศาของแผงไฟได้แบบ 180 องศา ปรับโฟกัสแสงไฟให้พุ่งลงตรงกลาง ลดการกระจายแสงไฟให้มีปริมาณแสงตรงกลางมากยิ่งขึ้น
ส่วนซีรีส์ FC-E จะเป็นแถบไฟที่สามารถ ถอดแยกออกมาได้ เพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้ายได้มากขึ้นไปอีก แถมยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้กับนักปลูกได้มากขึ้นด้วย สามารถออกแบบปรับแต่งไฟสำหรับพื้นที่ปลูกได้ตามต้องการ อย่างเช่นการผสมผสานระหว่างไฟรุ่น FC-E4800 และ SP3000 ให้เน้นโฟกัสแสงไปที่กลางพื้นที่ปลูก
ปล. FC6500 มีไฟ 8 แถบ ส่วน FC-E6500 มี 6 แถบ ใช้ไฟเท่ากับทั้งคู่ที่ 650 วัตต์
ความแตกต่างที่ 4: ราคา
ด้วยราคาที่แตกต่างจึงเป็นเหตุผลหลักที่นักปลูกอยากรู้ความแตกต่างของซีรีส์ไฟทั้ง 2
ไดโอดไฟ Samsung นั้นมีราคาต้นทุนที่แพงกว่ามาก ถ้าหากว่าเห็นร้านที่ขายไฟ Samsung ราคาถูก ๆ ให้ระวังไว้ว่าจะเป็นของปลอมหรือใช้รุ่นไดโอดที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าซีรีส์ 3030
ความแตกต่างที่ 5: การใช้งาน
ข้อมูลด้านบนน่าจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนกันไปแล้ว และการนำเอาไปใช้งานจริงแน่นอนว่าจะมีความแตกต่างกันด้วย
ค่า PPE ที่แตกต่างกัน 0.1 µmol/J ระหว่างซีรีส์ FC และ FC-E อาจะดูเหมือนไม่มากสักเท่าไหร่สำหรับการเพาะปลูกส่วนตัวที่ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากเอาไปใช้งานกับการปลูกเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะเกิดความแตกต่างขึ้นทันที อาจตีเป็นมูลค่าความแตกต่างเป็นจำนวนเงินที่มากถึงหลายพันดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ถ้าหากว่ามุ่งเน้นในเรื่องผลผลิตที่ได้เป็นหลัก ซีรีส์ FC จึงเป็นคำตอบของคุณอย่างชัดเจน
รูปแบบแถบไฟที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ก็จะช่วยให้นักปลูกรายเล็ก ๆ สนุกไปกับการออกแบบแผงไฟปลูกที่เหมาะสมกับพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากว่าต้องเอาไปใช้งานในพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ แน่นอนว่าคงไม่เหมาะที่จะมานั่งติดตั้งแถบไฟจำนวนหลายร้อนอันอย่างแน่นอน
ซีรีส์ FC: ให้ผลผลิตสูงสุด, คุณภาพสูงสุดสำหรับการปลูกทุกระดับ
ซีรีส์ FC-E: ให้ผลผลิตสูง คุณภาพสูงสำหรับการนักปลูกระดับเริ่มต้น หรือเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก สำหรับผู้ใช้งานที่งบประมาณจำกัด
สรุป
ลองดูตารางเปรียบเทียบด้านล่างนี้ให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หวังว่าบล็อกนี้จะช่วยให้คุณรู้เรื่องและเข้าใจชุดไฟปลูก Mars Hydro ทั้งซีรีส์ FC และ FC-E มากยิ่งขึ้น และช่วยให้คุณตัดสินใจได้ชัดเจนว่าต้องเลือกตัวไหน
*หมายเหตุ บทความนี้เขียนขึ้นก่อนที่จะเปิดตัวรุ่น FC8000 และ FC-E8000 ถ้าหากต้องการทราบความแตกต่างระหว่างไฟรุ่น FC6500 และ FC8000 หรือระหว่าง FC-E6500 และ FC-E8000 โปรดอ่านบทความใหม่ของเรา "Model Battle: 6500 vs. 8000"
หรือถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถ ติดต่อเรา ได้โดยตรง เราพร้อมตอบทุกคำถามและข้อสงสัยของคุณ