การเลือกซื้อเต็นท์ปลูกต้นไม้ให้เหมาะสม

การเลือกเต็นท์ที่เหมาะสมกับต้นไม้ที่เราต้องการปลูกถือเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ดี เพราะจะส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุนของเรา ถ้าเลือกได้ถูกต้องก็จะสร้างผลตอบแทนที่สูงให้กับผู้ปลูก


คำถามที่มักจะสงสัยกันก็คือมือใหม่จะต้องเลือกยังไงให้ได้เต็นท์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด คำตอบจริง ๆ ต้องบอกว่าไม่มี “เต็นท์ที่สมบูรณ์แบบ” สำหรับทุกคนหรอก แต่ละคนก็จะมีขนาดพื้นที่และเป้าหมายการปลูกที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนไปในแต่ละรูปแบบของแต่ละคน แต่ก็มีข้อกำหนดที่จะช่วยให้สามารถตอบโจทย์การปลูกของแต่ละคนได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

ทำไมต้องใช้เต็นท์ปลูกต้นไม้

มือใหม่ที่กำลังจะปลูกต้นไม้ในร่มจะมีคำถามว่าทำไมจะต้องใช้เต็นท์ ทำไมไม่เอาต้นไม้ใส่กระถางแล้วแขวนไฟไว้ไม่พอเหรอ ต้นไม่ได้ต้องการเต็นท์สักหน่อย มันแค่ต้องการน้ำและแสงไม่ใช่เหรอ

จริงที่ว่าต้นไม้ไม่ได้ต้องการเต็นท์มาช่วยในการเติบโต แต่เต็นท์จะช่วยให้การปลูกต้นไม้ในร่มนั้นทำได้ง่ายขึ้นมาก

การปลูกต้นไม้ในเต็นท์จะช่วยลดการสูญเสียแสงไปโดยเปล่าประโยชน์ และเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแสงไฟให้ต้นไม้ได้เต็มที่

เป้าหมายหลักในการใช้เต็นท์ก็คือการเก็บแสงให้มีประสิทธิภาพกับต้นไม้ได้อย่างเต็มที่ ไม่เกี่ยวว่าไฟ LED ของคุณจะมีคุณภาพระดับไหน แต่ถ้าหากว่าไม่ใช้เต็นท์ แสงไฟที่ปล่อยออกมาก็จะกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ไม่ถูกรวบรวมให้โฟกัสลงไปที่ต้นไม้ของเราตรง ๆ ทั้งหมด เพราะภายในเต็นท์จะมีแผ่นสะท้อนแสงอยู่ ที่จะเก็บทุกองศาของแสงให้วนเวียนอยู่ภายในเต็นท์ ให้ต้นไม้ที่อยู่ด้านในได้รับแสงเต็ม ๆ ไม่สูงเสียแสงและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์เลย

นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าหากว่าสถานที่ปลูกของเราบางครั้งอาจมีคนมาเยี่ยมเยียน เต็นท์ก็ยังสามารถช่วยกันไม่ให้ใครมาวุ่นวายกับต้นไม้ของเราได้ด้วยในระดับนึง

เต็นท์ปลูกต้นไม้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดการต้นไม้

จุดประสงค์หลักอย่างนึงของการปลูกต้นไม้ในร่มคือความสามารถในการควบคุมสภาพแวดล้อมให้กับต้นไม้ได้ ถ้าหากไม่ใช้เต็นท์ การควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ก็จะทำได้ลำบาก

เต็นท์จะควบคุมขนาดพื้นที่ปลูกให้เล็กพอดีกับต้นไม้มากที่สุด และช่วยให้การจัดการสภาพแวดล้อมภายในตามที่เราต้องการได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นความชื้น อุณหภูมิ และช่วยประหยัดไฟสำหรับการปลูกในพื้นที่เล็กลงภายในเต็นท์

การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในเต็นท์ในแต่ละช่วงการเติบโตของต้นไม้ก็สามารถทำได้ง่ายมากกว่าการจัดการโดยไม่มีเต็นท์มาก ผู้ปลูกหลายคนเลือกใช้เต็นท์หลายตัวเพื่อแยกกันตะหว่างการปลูกพืชที่เน้นผลผลิต และไม้ดอกที่เน้นตัวดอกให้เบ่งบานสวยงามมากที่สุด ซึ่งทำได้สะดวกกว่ามาก

เต็นท์ปลูกช่วยให้การปลูกของคุณมีความปลอดภัยและป้องกันการรบกวนที่อยู่อาศัย

โดยเฉพาะกับการปลูกภายในบ้าน ถ้าหากว่ามีการเชื่อมต่อระบบระบายอากาศเข้ากับตัวเต้น การปลูกภายในบ้านจะไม่มีกลิ่นใด ๆ ออกมารบกวนผู้อยู่อาศัยเลย สามารถปลูกต้นไม้ในสถานที่อยู่อาศัยได้ไปพร้อม ๆ กันโดยไม้เกิดการรบกวนเลย

หรือถ้าหากว่าเราอยู่บ้านที่อาศัยร่วมกันหลายคน อาจจะมีสมาชิกภายในบ้านที่สงสัยว่าเรากำลังทำอะไรในเต็นท์ ก็จะเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้ใครมายุ่มย่ามกับต้นไม้ของเราโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตได้ด้วยในตัว รวมไปถึงการป้องกันเหล่าสัตว์เลี้ยงและแมลงต่าง ๆ ที่นับเป็นอันตรายต่อต้นไม้ของเรามาก ๆ

เลือกเต็นท์รุ่นไหนดี

การเลือกรุ่นนั้นไม่ง่ายนัก ด้วยความที่มีรุ่นในตลาดให้เลือกมากมายหลากหลายรุ่น ลองมาดูปัจจัยในการเลือกไปทีละข้อตามนี้เลย

มาตรฐานเต็ทน์ของยี่ห้อนั้น ๆ 

อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องมาตรฐานของตัวเต็นท์จากยี่ห้อ หน้าของเต็นท์ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้หนีกันมากนัก แต่เรื่องของคุณภาพในการผลิต วัสดุที่ใช้นั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ยี่ห้อ ถ้าหากว่าเป็นยี่ห้อที่มีชื่อมายาวนานในการทำเต็นท์และอุปกรณ์การปลูกต้นไม้ในร่มก็ถือว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่ายี่ห้อที่เราไม่รู้จักมาก่อนเลย

ขนาดเต็นท์กับพื้นที่ปลูก

แม้ว่าคุณอาจจะมียี่ห้อในใจอยู่แล้วก็ตาม แต่มันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าหากว่าเลือกไซส์มาผิดไม่เหมาะกับพื้นที่ของเรา ควรวัดพื้นที่ของเราที่ต้องการวางเต็นท์ก่อน ว่าสามารถรองรับการวางขนาดไหนได้บ้าง วัดความกว้าง ความยาว และความสูงให้พร้อม ตัวเต็นท์ควรต้องเล็กกว่าพื้นที่ที่เรามี

ต้องใช้เต็นท์กี่หลัง

จำนวนเต็นท์ที่ต้องใช้ขึ้นอยู่กับลักษณะการปลูกของแต่ละคน ถ้าหากว่าเพิ่งเริ่มปลูกเป็นครั้งแรก และไม่ได้มีต้นไม้หลากหลายชนิดนัก ปลูกอยู่แบบเดียว อาจลองเริ่มจากเต็นขนาดพอเหมาะสัก 1 หลังก่อน หรือบางเคสมีการปลูกพืชต่างชนิดกัน การเลือกจำนวนที่ 2 หลังขึ้นไปก็นับว่าเหมาะสมมากกว่า เพราะสามารถกำหนดสภาพแวดล้อมการปลูกภายในเต้นที่แตกต่างกันได้

หรืออีกตัวอย่างนึงคือเป็นพืชชนิดเดียวกัน แต่ช่วงการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน การใช้เต็นท์แยกกันก็จะเหมาะสมกว่า

รวมไปถึงการปลูกที่สามารถกำหนดสถาพแวดล้อมตามตารางที่จัดเอาไว้ สามารถเปลี่ยนแปลงตามกำหนดที่วางไว้ได้ในแต่ละเต็นท์ เพิ่มความสะดวกในการจัดการขึ้นมากอย่างที่ได้บอกไป และไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะเป็นยังไง ฤดูไหน เราก็ยังสามารถจัดการสภาพแวดล้อมภายในเต็นท์ให้เหมาะกับการเติบโตของต้นไม้เราได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด ให้ผลผลิตเติบโตต่อเนื่องแบบไม่เกี่ยงกับเวลาสภาพอากาศ

จะรู้ได้อย่างไรว่าไม้ที่ปลูกจะพอดีกับเต็นท์หรือเปล่า

เต็นท์จะสามารถรองรับต้นไม้ได้ในจำนวนที่จำกัด เต็นท์แต่ละขนาดจะมีจำนวนต้นที่รับได้แตกต่างกันไป ต้องรู้ก่อนว่าไม้ที่จะปลูกนั้นต้องใช้พื้นที่ต่อต้นเท่าไหร่

โดยปกติแล้วจะใช้ขนาดมาตรฐาน 120x120 หรือ 120x420 ซม. สามารถรองรับไม้ได้ที่ 4-6 ต้น หรือ 4-10 ต้นตามลำดับ

เต็นท์ขนาดเล็ก 60x60 ซม. ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการเพาะต้นแม่พันธุ์มากกว่า หรือถ้าเป็นขนาดใหญ่สุด 240x480 ซม. สำหรับใช้ปลูกแบบจริงจังจำนวนมาก 16-32 ต้น

ให้คำนึงถึงขนาดของต้นที่เราต้องการปลูก และช่วงเวลาการเติบโต เพื่อใช้วางแผนประกอบการเลือกขนาดเต็นท์ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด หรือลองดูตารางด้านล่างนี้ประกอบก็ได้

ต้องเปรียบเทียบอะไรบ้างในการเลือกเต็นท์

ถ้ายังลังเลเลือกไม่ได้ ลองดูฟีเจอร์เหล่านี้ประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม

กันน้ำได้ดีแค่ไหน

"Denier" เป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมสิ่งทอสำหรับใช้บอกว่าเต็นท์นั้นหนาแค่ไหน จำนวน Denier ยิ่งสูงแปลว่ายิ่งกันน้ำได้ดี

ส่วนใหญ่แล้วค่ามาตรฐานจะอยู่ในช่วง 210D ถึง 2000D ยิ่งเลขมากใกล้ 2000D เท่าไหร่ก็แปลว่าคุณภาพยิ่งดีมากเท่านั้น ควรเลือกที่ระดับ 680D ขึ้นไป

การกระจายแสงภายในเต็นท์ดีแค่ไหน

เป็นปัจจัยสำคัญอีกตัวเพื่อดูว่าด้านในของเต็นท์นั้นมีการสะท้อนแสงดีแค่ไหนจากการเคลือบผิว Mylar ภายใน แม้ว่าเต็นท์จะเก็บแสงดีไม่มีเล็ดลอดออกมาด้านนอกแต่ไม่ได้แปลว่าจะส่งแสงด้านในได้ดี เพราะต้องอาศัยการเคลือบผิว Mylar สะท้อนแสงให้ส่องไปยังต้นไม้ได้อย่างเต็มที่มากที่สุด

ถ้าภายในไม่มีผิวเคลือบ Mylar สีเงินลักษณะเซาะร่อง แสงจะส่องภายในได้ไม่เต็มที่ รูปทรงเพชรนั้นจะช่วยสะท้อนแสงภายในเต็นท์ได้ดีที่สุด

ความแข็งแรงของเต็นท์

คงไม่มีใครอยากเห็นเต็นท์ของตัวเองล้มหลังแขวนชุดไฟขึ้นไปหรอกจริงมั้ย ผู้ผลิตควรจะบอกวัสดุที่ใช้ทำโครงของเต็นท์ให้เราทราบด้วย รวมไปถึงน้ำหนักที่รองรับในการแขวนชุดไฟว่าได้เท่าไหร่

โครงสร้างเต็นท์ที่ดีจะทำมาจากโลหะทั้งหมด สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างน้อย 40 กิโลกรัม และต้องให้ความสำคัญกับข้อต่อตัวโครงด้วย เพราะบางเจ้าให้เป็นข้อต่อพลาสติกมา ซึ่งไม่แข็งแรงเท่าโลหะอย่างแน่นอน

อย่าลืมเช็กน้ำหนักของไฟที่ต้องการจะแขวน เพื่อไม่ให้หนักจนเกินความสามารถของเต็นท์ที่จะรับไหว และอย่าคิดไปเองว่ายิ่งเต็นท์ใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งรับน้ำหนักได้เยอะเท่านั้น เพราะต้องอ้างอิงจากโครงสร้างและวัสดุที่ใช้ด้วย

มีการซีลรอยต่อต่าง ๆ ดีแค่ไหน

ช่องระบายอากาศนับเป็นจุดสำคัญที่ต้องตรวจสอบความมิดชิดของการซีลปิดว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ ปกติแล้วจะมีการออกแบบมาเป็นลิ้น 2 ชั้น เพื่อกั้นแสงจากด้านนอกเข้าไปภายในเต้น ทำให้การติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงสายไฟเขาไปภายในได้โดยไม่ต้องกังวลกับตัวแปรที่อาจส่งผลกับไม้ภายใน

อย่าลืมเลือกเต็นท์ที่มีช่องหน้าต่างใสสำหรับใช้ดูการเติบโตและเช็กความผิดปกติต่าง ๆ ของไม้ภายในเต็นท์ด้วย เพราะถ้าต้องมาเปิดเข้าเปิดออกอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อการปลูกสักเท่าไหร่นัก และยังสร้างความลำบากให้ตัวเราเองด้วย

การปลูกทีดีก็ควรจะติดตั้งตัววัด Thermometer และ Hydrometer ไว้ภายในเต็นท์ด้วย และเมื่อมีช่องหน้าต่างใสก็สามารถเปิดเช็ดดูค่าได้ง่าย ๆ ทันที สะดวกรวดเร็ว ไม่รบกวนไม้

และในการปลูกหลังจากที่เรารดน้ำไปแล้ว ก็มักจะต้องทำความสะอาดเต็นท์ด้วย เต็นท์ที่ดีจะมีการทำถาดรองกันน้ำไว้ด้านล่าง ป้องกันน้ำเอ่อภายใน และสามารถถอดไปทำความสะอาดได้ง่าย สะดวก ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ต้องทำในการปลูก

เรียนรู้เกี่ยวกับการเลือกเต็นท์คุณภาพสูงจาก Mars Hydro

Mars Hydro ใส่ใจในการให้ความรู้กับลูกค้าของเราทุกคน ทั้งเรื่องการใช้งานไฟปลูกต้นไม้ LED และเต็นท์ปลูกต้นไม้ในร่ม เราจึงโพสต์เนื้อหาและบทความต่าง ๆ บนบล็อกของเราอยู่เป็นประจำ

ถ้าหากว่าคุณกำลังตัดสินใจเลือกเต็นท์มาปลูกต้นไม้ใหม่ของคุณอยู่ อย่าลืมเข้าไปอ่านเนื้อหาต่าง ๆ ของเราได้ที่ โพสต์ล่าสุด หรือลองติดต่อตัวแทนจำหน่ายของเราเพื่อขอคำปรึกษาได้เลย

You have successfully subscribed!
This email has been registered